ด่านชายแดนในประเทศไทย: ประตูการค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน

ด่านชายแดนในประเทศไทย: ประตูการค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดกับ 4 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย การมีพรมแดนที่เชื่อมต่อกันนี้ก่อให้เกิด “ด่านชายแดน” ซึ่งถือเป็นจุดผ่านแดนสำคัญที่ใช้ในการขนส่งสินค้า การเดินทางของผู้คน รวมถึงการเชื่อมโยงวัฒนธรรม การค้าขาย และเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ด่านชายแดนจึงเป็นมากกว่าประตูธรรมดา หากแต่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าระหว่างประเทศ ประเภทของด่านชายแดนในประเทศไทย ด่านชายแดนในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ด่านสำคัญตามภูมิภาค 1. ภาคเหนือ 2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3. ภาคใต้ บทบาททางเศรษฐกิจของด่านชายแดน ด่านชายแดนของไทยมีบทบาทสำคัญในด้านต่าง ๆ เช่น 1. การส่งเสริมการค้าชายแดน การค้าชายแดนมีมูลค่าหลายแสนล้านบาทต่อปี ด่านเหล่านี้เป็นจุดขนถ่ายสินค้าเกษตร อาหารแปรรูป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าจากไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 2. การกระจายสินค้าและบริการ ด่านชายแดนเป็นช่องทางที่ช่วยให้สินค้าจากประเทศไทยสามารถเข้าไปยังตลาดประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่านการขนส่งทางทะเลที่อาจมีต้นทุนสูงกว่า 3. การสร้างรายได้ในพื้นที่ การค้าชายแดนสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ มีการเกิดขึ้นของตลาดชายแดน ศูนย์กระจายสินค้า ลานขนถ่าย และคลังสินค้าชายแดน ความท้าทายในการบริหารจัดการด่านชายแดน แม้ด่านชายแดนจะมีศักยภาพสูง แต่ก็เผชิญกับปัญหาหลายประการ เช่น แนวโน้มและการพัฒนาในอนาคต รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด่านชายแดนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) เช่น บทสรุป ด่านชายแดนของประเทศไทยไม่ได้มีเพียงบทบาทด้านการควบคุมพรมแดนหรือรักษาความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่เชื่อมโยงไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ด่านเหล่านี้จึงควรถูกพัฒนาและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ของอาเซียนในอนาคต

Read More

Harmonized System Code (H.S. Code) : รหัสสินค้าโลกที่ผู้นำเข้าส่งออกต้องรู้

Harmonized System Code: รหัสสินค้าโลกที่ผู้นำเข้าส่งออกต้องรู้ ในโลกของการค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กหรือบริษัทนำเข้าส่งออกขนาดใหญ่ มีสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการศุลกากร นั่นก็คือ Harmonized System Code หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า HS Code รหัสนี้มีความสำคัญต่อการระบุประเภทของสินค้า การคำนวณภาษีศุลกากร และการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายของแต่ละประเทศ HS Code คืออะไร? HS Code (Harmonized System Code) คือ ระบบรหัสมาตรฐานสากลที่ใช้ในการจำแนกประเภทสินค้าในกระบวนการค้าระหว่างประเทศ โดยระบบนี้ได้รับการพัฒนาและดูแลโดย องค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ระบบ HS ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1988 และมีการปรับปรุงทุก ๆ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสินค้าและแนวโน้มทางการค้าโลก ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกมากกว่า 200 ประเทศที่ใช้ระบบนี้ ซึ่งครอบคลุมการค้าระหว่างประเทศกว่า 98% ของโลก โครงสร้างของ HS Code HS Code มีลักษณะเป็นรหัสตัวเลขที่แบ่งออกเป็น 6 หลักหลัก โดยมีรายละเอียดดังนี้: ตัวอย่างเช่น: HS Code ความหมาย 08 ผลไม้และถั่ว 0803 กล้วย 0803.90 กล้วยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กล้วยสดทั่วไป ในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย จะมีการขยายรหัสต่อจาก 6 หลักเป็น 8 หรือ 10 หลัก เพื่อใช้ในประเทศนั้น ๆ โดยอิงจากมาตรฐาน 6 หลักของ WCO ใครเป็นผู้ดูแลระบบ HS Code?…

Read More

การตั้งราคาสินค้าส่งออก: พื้นฐานสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้

การตั้งราคาสินค้าส่งออก การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศไม่ได้มีแค่เรื่องเอกสาร ขนส่ง หรือพิธีการศุลกากรเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่สามารถชี้เป็นชี้ตายความสำเร็จของธุรกิจส่งออกได้เลย นั่นก็คือ “การตั้งราคาสินค้าส่งออก” สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ หรือแม้แต่ธุรกิจที่ดำเนินการมาหลายปีแล้ว การตั้งราคาส่งออกให้เหมาะสมอาจยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความสับสน และทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจโดยไม่รู้ตัว บางรายตั้งต่ำเกินไปจนกำไรไม่พอเลี้ยงธุรกิจ บางรายตั้งสูงเกินไปจนลูกค้าต่างชาติไม่กล้าซื้อ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักภาพรวมของการตั้งราคาส่งออก ว่าทำไมจึงสำคัญ และมีประเด็นอะไรบ้างที่ผู้ส่งออกควรคำนึงก่อนคิดจะขายสินค้าออกนอกประเทศ ทำไมการตั้งราคาส่งออกถึง “ต่าง” จากราคาขายในประเทศ? หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการตั้งราคาส่งออกคือการนำ “ต้นทุน + กำไร” แบบเดียวกับขายในประเทศมาใช้อ้างอิง ซึ่งในความเป็นจริงนั้นไม่พอครับ เพราะการส่งออกมีความซับซ้อนมากกว่า มีต้นทุนแฝงที่มองไม่เห็น และมีปัจจัยระดับ “โลก” เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น นอกจากนี้พฤติกรรมผู้ซื้อในแต่ละประเทศยังแตกต่างกัน เช่น ลูกค้าในญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าราคา ส่วนลูกค้าในแอฟริกาหรือเอเชียบางประเทศอาจเน้นที่ราคาถูกที่สุด การตั้งราคาจึงไม่สามารถใช้สูตรตายตัวได้ ตั้งราคาส่งออก = ศิลปะ + กลยุทธ์ + คณิตศาสตร์ การตั้งราคาส่งออกไม่ใช่แค่การ “บวกต้นทุน” แล้ว “บวกกำไร” เหมือนการขายปลีกในประเทศ แต่ต้องคิดเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้สินค้าสามารถ: ดังนั้นผู้ส่งออกจึงต้องมี “องค์ความรู้” และ “ทักษะวิเคราะห์” เพื่อประเมินต้นทุนทั้งหมด คำนวณราคาขาย และพิจารณาปัจจัยภายนอกอย่างรอบด้าน ปัจจัยที่ควรคำนึงในการตั้งราคาส่งออก (แบบภาพรวม) ความเสี่ยงจากการตั้งราคาผิด การตั้งราคาส่งออกผิดสามารถส่งผลเสียมากกว่าที่คิด: ดังนั้นการตั้งราคาจึงไม่ควรมองว่าเป็นเรื่องของ “การประมาณ” แต่ควรใช้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และกลยุทธ์มาควบคู่กัน ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย แล้วจะตั้งราคาส่งออกอย่างมืออาชีพได้อย่างไร? คำตอบคือ ต้องมีความรู้เฉพาะทาง + ประสบการณ์ + เครื่องมือช่วยคิดราคาที่เป็นระบบ และนั่นคือเหตุผลที่เราพัฒนา หลักสูตร “การตั้งราคาสินค้าส่งออกอย่างมืออาชีพ” ขึ้นมา เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถ: ✅ คำนวณต้นทุนส่งออกได้ครบถ้วน✅ เข้าใจโครงสร้างราคาตาม Incoterms✅ วิเคราะห์ตลาดและคู่แข่งได้✅ ตั้งราคาได้ทั้งแบบ B2B และ B2C✅ วางกลยุทธ์ราคาตามแบรนด์และเป้าหมายธุรกิจ✅ เพิ่มกำไรโดยไม่ต้องลดราคา✅…

Read More

Incoterms: เงื่อนไขการส่งมอบสินค้า ที่ผู้นำเข้าส่งออกควรรู้จัก

Incoterms: เงื่อนไขการส่งมอบสินค้า ที่ผู้นำเข้าส่งออกควรรู้จัก ในการทำธุรกิจนำเข้าส่งออก การตกลงเรื่องราคาไม่ใช่แค่เรื่อง “เท่าไร” แต่ยังต้องรวมถึง “ใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง” เช่น ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ค่าโหลดขึ้นเรือ ค่าผ่านพิธีศุลกากร ฯลฯ ซึ่งถ้าไม่กำหนดชัดเจน อาจเกิดความสับสนหรือข้อพิพาทตามมาได้ นี่คือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องเข้าใจ Incoterms หรือ เงื่อนไขการส่งมอบสินค้า ซึ่งเป็นภาษาสากลที่ใช้กันทั่วโลกในสัญญาการค้าระหว่างประเทศ Incoterms คืออะไร? Incoterms ย่อมาจาก International Commercial Terms คือ ชุดกฎเกณฑ์มาตรฐานสากล ที่กำหนดความรับผิดชอบของ “ผู้ขาย” และ “ผู้ซื้อ” เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าในการค้าระหว่างประเทศ Incoterms ระบุชัดว่า ใครจะเป็นผู้: Incoterms ไม่ใช่กฎหมายบังคับ แต่เป็นข้อตกลงที่ “อิงมาตรฐานสากล” ซึ่งพัฒนาโดย International Chamber of Commerce (ICC) โดยจะมีการปรับปรุงเป็นระยะ ปัจจุบันฉบับที่ใช้คือ Incoterms 2020 โครงสร้างของ Incoterms Incoterms แบ่งออกเป็น 11 เงื่อนไขหลัก โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่: 1. ใช้ได้กับ “ทุกประเภทการขนส่ง” (Multimodal) 2. ใช้เฉพาะ “การขนส่งทางน้ำ” (Sea & Inland Waterway) ทำไมผู้นำเข้าส่งออกต้องเข้าใจ Incoterms? สรุป Incoterms ที่นิยมใช้ เงื่อนไข ใครรับผิดชอบค่าขนส่งหลัก จุดส่งมอบสินค้า ความนิยมใช้ EXW ผู้ซื้อ โรงงานผู้ขาย นิยมในขาเข้า (ผู้นำเข้าอยากคุมต้นทุนเอง) FOB ผู้ซื้อ ขึ้นเรือที่ท่าเรือต้นทาง นิยมมากในขนส่งทางเรือ…

Read More

มาตรฐานสินค้าที่น่าสนใจ

มาตรฐานหลักของสินค้าไทย มาตรฐานอุตสาหกรรม คู่ค้าแต่ละประเทศ •British Standard (BS) เป็นมาตรฐานของประเทศอังกฤษ •German Industrial Standard (DIN) เป็นมาตรฐานของประเทศเยอรมัน •Japanese Industrial Standard (JIS) เป็นมาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น •American National Standard Institute (ANSI) เป็นมาตรฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา •Thailand Industrial Standard (TIS) เป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของประเทศไทย •VerbandDeutscherElektrotechniker(VDE) เป็นมาตรฐานของกลุ่มวิศวกรไฟฟ้าในประเทศเยอรมนี •Keuringvan ElektrotechnischeMaterialen(KEMA) เป็นมาตรฐานการทดสอบของประเทศเนเธอร์แลนด์ •International Electrotechnical Commission (IEC) เป็นมาตรฐานขององค์กรระหว่างประเทศที่จัดทามาตรฐานทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ •African Regional Standards Organization (ARSO ) เป็นองค์การมาตรฐานแห่งภูมิภาคแอฟริกา •RoHS (The Restriction of The Use of Certain Hazardous Substance In Electrical and Electronic Equipment) เป็นระเบียบของสหภาพยุโรปหรือ EU (The European Union) ว่าด้วยเรื่องของการห้ามใช้สารเคมีอันตรายในผลิตภัณฑ์ไฟฟฟ้าและเล็กทรอนิกส์ •WEEE (Waste from Electrical and Electronic Equipment) เป็นมาตรฐานที่ว่าด้วยการกาจัดซากผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีการห้ามนาเอาสารเคมีอันตราย 6 ชนิดเข้ามาใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ คือ ปรอท (Hg) ตะกั่ว (Pb), แคดเมียม (Cd), โครเมียม เฮกซะวาเลนต์ (Cr(Vl) ),…

Read More

10 ข้อควรรู้ ก่อนเริ่มต้นธุรกิจนำเข้าส่งออก

10 ข้อควรรู้ ก่อนเริ่มต้นธุรกิจนำเข้าส่งออก ธุรกิจนำเข้าส่งออกเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตสูงและสามารถสร้างกำไรได้มหาศาล หากคุณกำลังคิดจะเริ่มต้นธุรกิจนี้ นี่คือ 10 ข้อควรรู้ที่สำคัญ ที่จะช่วยให้คุณเดินหน้าได้อย่างมั่นใจ 1. เข้าใจพื้นฐานของการนำเข้าและส่งออก ก่อนเริ่มต้นธุรกิจ คุณต้องเข้าใจโครงสร้างของการค้าระหว่างประเทศ รวมถึง Incoterms (ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ) ที่เป็นมาตรฐานการขนส่งสินค้า เช่น FOB, CIF, EXW เป็นต้น การเข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถทำข้อตกลงทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ค้นหาสินค้าที่มีศักยภาพ สินค้าทุกประเภทไม่ได้เหมาะกับการนำเข้าส่งออก การวิจัยตลาดเป็นสิ่งจำเป็น ลองวิเคราะห์ว่าสินค้าไหนมีความต้องการสูง และสามารถสร้างกำไรได้ดี โดยดูจาก แนวโน้มตลาด, คู่แข่ง และความต้องการของผู้บริโภค 3. ศึกษากฎหมายและภาษีนำเข้าส่งออก แต่ละประเทศมี กฎระเบียบและภาษีศุลกากร ที่แตกต่างกัน คุณต้องศึกษาว่า 4. รู้จัก HS Code และวิธีคำนวณต้นทุน HS Code (Harmonized System Code) คือรหัสสินค้าสากลที่ใช้ระบุประเภทของสินค้าเพื่อกำหนดอัตราภาษี การเข้าใจ HS Code จะช่วยให้คุณคำนวณต้นทุนการนำเข้าส่งออกได้แม่นยำขึ้น 5. เลือกซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ หากคุณนำเข้าสินค้า การเลือกซัพพลายเออร์ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ คุณสามารถหาแหล่งซัพพลายเออร์ได้จากแพลตฟอร์ม เช่น Alibaba, 1688, Global Sources หรือใช้บริการ Trade Assurance เพื่อป้องกันการถูกโกง 6. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการขนส่งและโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้ามีหลายรูปแบบ เช่น ทางเรือ, ทางอากาศ, ทางรถไฟ และทางบก คุณต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับต้นทุนและระยะเวลาจัดส่ง รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับ Freight Forwarder และ Customs Broker ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในกระบวนการศุลกากร 7. วางแผนเรื่องการเงินและกระแสเงินสด การนำเข้าส่งออกต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ดังนั้นคุณต้องมี แผนการเงินที่ดี เช่น…

Read More

ขนาดมาตรฐานของตู้คอนเทนเนอร์

ขนาดมาตรฐานของตู้คอนเทนเนอร์   ตู้คอนเทนเนอร์คืออะไร   ประโยชน์ของตู้คอนเทนเนอร์   ตู้คอนเทนเนอร์มีกี่ประเภท   ขนาดของตู้คอนเทนเนอร์   การใช้งานตู้คอนเทนเนอร์   ตู้คอนเทนเนอร์หาได้ที่ไหน   สนใจคอร์สเรียน คลิกที่นี่

Read More

12 อาชีพที่น่าสนใจในธุรกิจนำเข้าส่งออก

12 อาชีพที่น่าสนใจในธุรกิจนำเข้าส่งออก สำหรับผู้สนใจเข้าสู่วงการนำเข้าส่งออกและอยากรู้ว่ามีอาชีพใดบ้างที่เหมาะกับการทำงานหรือทำธุรกิจด้านนี้ ลองมาดูรายละเอียดแต่ละอาชีพกันครับ ผู้จัดการฝ่ายโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ (International Logistics Manager) ดูแลการขนส่งสินค้า การบริหารซัพพลายเชน และการเลือกเส้นทางขนส่งที่มีประสิทธิภาพ รับผิดชอบการประสานงานกับบริษัทขนส่งและคู่ค้าในต่างประเทศ นักวิเคราะห์การตลาดระหว่างประเทศ (International Market Analyst) วิเคราะห์ข้อมูลตลาดเป้าหมายในต่างประเทศ ค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และแนะนำกลยุทธ์เข้าสู่ตลาด เจ้าหน้าที่จัดการเอกสารนำเข้าส่งออก (Export-Import Documentation Officer) จัดเตรียมและตรวจสอบเอกสารสำคัญ เช่น ใบตราส่ง, ใบกำกับสินค้า, และเอกสารศุลกากร ตรวจสอบความถูกต้องของขั้นตอนและการปฏิบัติตามกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีและศุลกากร (Customs and Tax Specialist) ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับภาษีนำเข้า-ส่งออกและพิธีการศุลกากร ติดตามระเบียบและข้อกำหนดของแต่ละประเทศ เจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Development Executive) ขยายธุรกิจและสร้างพันธมิตรกับคู่ค้าต่างประเทศ รับผิดชอบการเจรจาและปิดดีลธุรกิจ นักการตลาดดิจิทัลสำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออก (Digital Marketing Specialist for Import-Export) วางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Alibaba, Amazon สร้างแบรนด์และโปรโมตสินค้าในตลาดต่างประเทศ ที่ปรึกษาธุรกิจนำเข้าส่งออก (Export-Import Consultant) ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจนำเข้าส่งออก วิเคราะห์ความเสี่ยงและแนะนำกลยุทธ์เพื่อความสำเร็จ ผู้ประเมินคุณภาพสินค้า (Product Quality Inspector) ตรวจสอบคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ประสานงานระหว่างผู้ผลิตและผู้ซื้อ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระหว่างประเทศ (International Trade Finance Specialist) ดูแลการชำระเงินระหว่างประเทศ เช่น Letter of Credit (L/C), T/T บริหารความเสี่ยงทางการเงินและจัดหาสินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (International Trade Lawyer) ให้คำแนะนำด้านกฎหมายการค้า ข้อตกลงระหว่างประเทศ และข้อพิพาททางการค้า ช่วยตรวจสอบสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ ผู้บริหารจัดการโครงการนำเข้าส่งออก (Export-Import Project Manager)…

Read More

ทักษะที่จำเป็นในการทำนำเข้าส่งออก

ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำนำเข้าส่งออก การทำธุรกิจนำเข้าส่งออกไม่ใช่แค่การซื้อและขายสินค้า แต่ยังต้องมีทักษะที่หลากหลายเพื่อให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้คือทักษะสำคัญที่ควรมี: 1. ทักษะการสื่อสารระหว่างประเทศ (International Communication Skills) อธิบาย: การสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการเจรจาและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคู่ค้าในต่างประเทศ ทักษะที่เกี่ยวข้อง: การฟังอย่างตั้งใจ, การเขียนอีเมลอย่างมืออาชีพ, การพูดและการเจรจาทางธุรกิจที่ชัดเจน 2. ทักษะการเจรจาต่อรอง (Negotiation Skills) อธิบาย: การเจรจาต่อรองในธุรกิจนำเข้าส่งออกจำเป็นต้องสามารถต่อรองราคา การจัดการเงื่อนไขการชำระเงิน และการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ทักษะที่เกี่ยวข้อง: การตั้งคำถามที่ถูกต้อง, การปรับเปลี่ยนข้อเสนอให้เหมาะสม, การรักษาผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย 3. ทักษะการบริหารจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management Skills) อธิบาย: การขนส่งสินค้าให้ถึงปลายทางได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยต้องการทักษะในการจัดการซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ ทักษะที่เกี่ยวข้อง: การวางแผนการขนส่ง, การเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม (ทางเรือ, อากาศ, บก), การติดตามสถานะการส่งสินค้า 4. ทักษะการจัดการเอกสาร (Documentation Management Skills) อธิบาย: การจัดการเอกสารนำเข้า-ส่งออกให้ถูกต้องและครบถ้วน เช่น ใบกำกับสินค้า, ใบตราส่ง, ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า ทักษะที่เกี่ยวข้อง: การตรวจสอบเอกสาร, การจัดเก็บเอกสารอย่างมีระเบียบ, ความเข้าใจในข้อกำหนดทางกฎหมาย 5. ทักษะด้านการเงินและการชำระเงินระหว่างประเทศ (International Finance & Payment Skills) อธิบาย: การจัดการการชำระเงินระหว่างประเทศและการคำนวณภาษีเป็นทักษะสำคัญในธุรกิจการค้า ทักษะที่เกี่ยวข้อง: การใช้เครื่องมือการชำระเงิน เช่น Letter of Credit, T/T, D/P, ความเข้าใจในระบบภาษีและค่าธรรมเนียมศุลกากร 6. ทักษะการวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis Skills) อธิบาย: การวิเคราะห์ความต้องการของตลาดและการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในต่างประเทศ ทักษะที่เกี่ยวข้อง: การใช้เครื่องมือวิจัยตลาด (เช่น ITC Trade Map, UN Comtrade), การวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ,…

Read More

10 เทรนด์โลกการค้าระหว่างประเทศที่น่าสนใจในปี 2025

ในปี 2025 โลกเราจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร และนี่คือเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกการค้าระหว่างประเทศ

Read More