Harmonized System Code (H.S. Code) : รหัสสินค้าโลกที่ผู้นำเข้าส่งออกต้องรู้

Harmonized System Code: รหัสสินค้าโลกที่ผู้นำเข้าส่งออกต้องรู้

ในโลกของการค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กหรือบริษัทนำเข้าส่งออกขนาดใหญ่ มีสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการศุลกากร นั่นก็คือ Harmonized System Code หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า HS Code รหัสนี้มีความสำคัญต่อการระบุประเภทของสินค้า การคำนวณภาษีศุลกากร และการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายของแต่ละประเทศ

HS Code คืออะไร?

HS Code (Harmonized System Code) คือ ระบบรหัสมาตรฐานสากลที่ใช้ในการจำแนกประเภทสินค้าในกระบวนการค้าระหว่างประเทศ โดยระบบนี้ได้รับการพัฒนาและดูแลโดย องค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม

ระบบ HS ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1988 และมีการปรับปรุงทุก ๆ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสินค้าและแนวโน้มทางการค้าโลก ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกมากกว่า 200 ประเทศที่ใช้ระบบนี้ ซึ่งครอบคลุมการค้าระหว่างประเทศกว่า 98% ของโลก


โครงสร้างของ HS Code

HS Code มีลักษณะเป็นรหัสตัวเลขที่แบ่งออกเป็น 6 หลักหลัก โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • 2 หลักแรก: หมวดหมู่สินค้าหลัก (Chapter)
  • 2 หลักถัดมา (3-4): หมวดย่อย (Heading)
  • 2 หลักสุดท้าย (5-6): รายละเอียดเจาะจงของสินค้า (Subheading)

ตัวอย่างเช่น:

HS Codeความหมาย
08ผลไม้และถั่ว
0803กล้วย
0803.90กล้วยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กล้วยสดทั่วไป

ในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย จะมีการขยายรหัสต่อจาก 6 หลักเป็น 8 หรือ 10 หลัก เพื่อใช้ในประเทศนั้น ๆ โดยอิงจากมาตรฐาน 6 หลักของ WCO


ใครเป็นผู้ดูแลระบบ HS Code?

ระบบ HS อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ World Customs Organization (WCO) ซึ่งทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานรหัสสินค้า จัดทำคู่มือจำแนกสินค้า (Explanatory Notes) และรับผิดชอบในการอัปเดตระบบ HS ให้ทันสมัย

สำหรับแต่ละประเทศ หน่วยงานศุลกากรจะเป็นผู้ดูแลระบบ HS Code ในเชิงปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น:

  • ประเทศไทย: ดูแลโดย กรมศุลกากร (Customs Department)
  • สหรัฐอเมริกา: ดูแลโดย U.S. Customs and Border Protection (CBP)
  • ญี่ปุ่น: ดูแลโดย Japan Customs

ทำไม HS Code จึงสำคัญ?

  1. ใช้ในการคำนวณภาษีศุลกากร (Import Duty/Export Tax)
    ภาษีนำเข้าในแต่ละประเทศจะอิงจาก HS Code เป็นหลัก ถ้าคุณจัดประเภทผิด อาจเสียภาษีมากกว่าที่ควร หรือเลี่ยงภาษีโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจถูกปรับย้อนหลังได้
  2. ระบุข้อกำหนดเฉพาะของสินค้า (Non-Tariff Measures)
    สินค้าบางชนิดมีข้อกำหนดเฉพาะ เช่น ต้องขอใบอนุญาตนำเข้า ห้ามนำเข้าสินค้าอันตราย ต้องตรวจสอบคุณภาพ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ผูกอยู่กับ HS Code
  3. ใช้ในการขอสิทธิประโยชน์ทางภาษี
    เช่น สิทธิประโยชน์ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) อย่าง RCEP, ASEAN, JTEPA ฯลฯ จะผูกกับ HS Code เช่นกัน หากระบุผิด อาจไม่ได้รับสิทธิ
  4. ข้อมูลสถิติเศรษฐกิจและการวางแผนนโยบาย
    หน่วยงานภาครัฐใช้ข้อมูลการส่งออก-นำเข้าโดยอิงจาก HS Code เพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจและกำหนดนโยบาย

สิ่งที่ผู้นำเข้าส่งออกควรรู้เกี่ยวกับ HS Code

1. ต้องศึกษารายละเอียดสินค้าให้ดี

การจัดประเภทสินค้าอย่างถูกต้อง จำเป็นต้องเข้าใจวัสดุ การใช้งาน ลักษณะสินค้า และองค์ประกอบโดยรวม บางครั้งสินค้าเดียวกันอาจอยู่คนละหมวดถ้ามีการเปลี่ยนวัตถุดิบหรือรูปแบบการใช้งาน

2. ใช้เครื่องมือช่วยค้นหา

กรมศุลกากรของแต่ละประเทศมักมีระบบค้นหา HS Code ออนไลน์ ตัวอย่างในประเทศไทย:

3. ตรวจสอบกับ Freight Forwarder หรือ Customs Broker

แม้คุณจะค้นเจอ HS Code แล้ว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม โดยเฉพาะหากเป็นสินค้าเฉพาะทาง เพราะการจัดประเภทผิดอาจเกิดปัญหาในภายหลัง

4. ระวังการเปลี่ยนแปลง HS Version

WCO จะมีการปรับปรุงรหัสทุก 5 ปี เช่น HS 2017, HS 2022 ฯลฯ หากยังใช้รหัสเก่าอาจเกิดความสับสนหรือปัญหาในระบบศุลกากร

5. เก็บบันทึกเอกสารให้ครบถ้วน

กรณีมีข้อพิพาท หรือศุลกากรตรวจสอบย้อนหลัง คุณควรมีเอกสารประกอบการพิจารณารหัส เช่น แค็ตตาล็อกสินค้า, ใบวิเคราะห์, หนังสือชี้แจง, ใบรับรองถิ่นกำเนิด (CO)


ตัวอย่างปัญหาจากการใช้ HS Code ผิด

  1. เสียภาษีเกินจำเป็น: เช่น สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ควรจัดอยู่หมวดปลอดภาษี (ภายใต้ FTA) แต่จัดผิดหมวดที่ไม่มีสิทธิประโยชน์
  2. ถูกเรียกปรับย้อนหลัง: ผู้นำเข้าสินค้าสมุนไพรแต่จัดอยู่ในหมวดอาหาร ทำให้ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจาก อย. และถูกปรับย้อนหลังหลายแสนบาท
  3. สินค้าติดด่าน-ไม่สามารถผ่านศุลกากรได้: สินค้าควบคุมพิเศษเช่น วัตถุอันตราย เคมีภัณฑ์ หากใช้ HS Code ไม่ถูกต้อง อาจโดนยึดของ

บทสรุป

HS Code เป็นมากกว่ารหัสตัวเลข มันคือภาษากลางของการค้าระหว่างประเทศที่มีผลกระทบต่อการชำระภาษี การปฏิบัติตามกฎหมาย และการได้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกที่เข้าใจ HS Code อย่างลึกซึ้ง จะสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดโลก

หากคุณยังไม่มั่นใจเรื่อง HS Code ของสินค้าของคุณ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือใช้บริการของ Customs Broker ที่มีประสบการณ์ ย่อมเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

สนใจคอร์สเรียนเกี่ยวกับเนื้อหานี้ ติดต่อได้ที่ Line และ Facebook ของสถาบันได้เลยครับ

บทความเกี่ยวข้อง