สรุปความเป็นไปของตลาดโลกในปี 2020

สรุปความเป็นไปของตลาดโลกในปี 2020

 

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญปัญหาการชะลอตัวในหลายๆ ประเทศ กลับมีภัยคุกคามตัวใหม่อย่างโรคระบาดโควิด 19 มาทำให้เศรษฐกิจยิ่งย่ำแย่ลงกว่าเดิม ซึ่งวิกฤตนี้จะเกิดขึ้นกับเกือบทุกประเทศ มากน้อยแตกต่างกันไป

เราจะมาสรุปกันว่าปีนี้ทั่วโลกเจออะไรกันบ้าง

สาธารณรัฐประชาชนจีน

ปีนี้ต้องขอเริ่มจากที่จีนก่อน เพราะว่าเป็นประเทศแรกๆ ที่ประกาศว่าประสบปัญหากับโรคระบาดอย่างโควิด 19 เริ่มต้นที่เมืองอู่ฮั่น ซึ่งเดิมอาจมีการคาดการณ์ผิดในเรื่องข่าวลือว่าไม่ใช่โรคระบาด ทำให้เกิดเหตุการณ์ลุกลามแบบตั้งตัวไม่ทัน โรคระบาดนี้ดันโชคร้ายมาเริ่มต้นที่ละแวกอู่ฮั่น ที่เป็นเมืองศูนย์กลาง และเป็นแหล่งเชื่อมต่อการเดินทางไปทั่วประเทศจีน ทำให้ไวรัสนี้ระบาดไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ตั้งหลักได้แล้ว รัฐบาลจีนก็สั่งให้ประชาชนงดเดินทางออกนอกประเทศ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาในประเทศตัวเองให้เห็นผลก่อน ซึ่งการปิดประเทศ ปิดเมืองนี่เอง ทำให้เศรษฐกิจจีนที่เดิมเคยทรงๆ หรือโตไม่มาก กลับแย่ลงไปอย่างมาก

การปิดเมืองทำให้ประชาชนไม่ได้ออกไปทำงาน ทำให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบไปด้วย เนื่องจากโรงงานปิดทำการ ทำให้ผลิตของไม่ได้ ทำให้ทั่วโลกขาดของ เพราะจีนเป็นโรงงานของโลกนั่นเอง

หลังจากปิดประเทศแล้ว ก็เกิดการกระทบส่งต่อโรคระบาดไปยังหลายประเทศที่มีการติดต่อกับจีน เช่น ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือทั่วโลก เพราะคนจีนติดต่อกับทั่วโลกนั่นเอง

อาเซียน

หลังจากได้รับการระบาดมาแล้ว ไทย สิงคโปร์ และอาเซียนก็มีมาตรการปิดประเทศ ป้องกันชาวต่างชาติเข้ามา โดยเริ่มต้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง

เศรษฐกิจของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากเป็นประเทศที่ติดต่อกับคนจีนเยอะมาก ทั้งในเรื่องการส่งออกและการท่องเที่ยว ที่พึ่งพารายได้จากจีนเป็นหลัก เมื่อชาวจีนไม่สามารถเดินทางได้ ก็ทำให้ธุรกิจเหล่านี้กระทบเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้รับคำชมจากนานาประเทศว่าสามารถต่อต้าน บริหารจัดการกับโรคระบาดได้ดีมาก เราคงไม่เชื่อว่าประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนา จะมีระบบสาธารณสุขที่รองรับผู้ป่วยได้ดีกว่า ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ ผู้ป่วยโควิดต้องดูแลตัวเองอยู่ที่บ้าน

เวียดนามก็เป็นอีกประเทศที่รับมือกับโควิดได้ดี และด้วยเหตุนี้เองทำให้เวียดนามกลายเป็นไม่กี่ประเทศที่ GDP ไม่ติดลบ (ไทยติดลบแต่น้อยกว่าที่คาดไว้)

สิงคโปร์เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด เนื่องจากเป็นประเทศการค้าระหว่างประเทศ ต้องติดต่อกับต่างชาติตลอดเวลา เมื่อไม่สามารถค้าขายกับต่างประเทศได้ ก็ทำให้เศรษฐกิจของตัวเองได้รับผลกระทบไปเต็มๆ

เอเชียตะวันออก

ญี่ปุ่น จากเดิมที่เคยมีความหวังด้านเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว กลับได้รับผลกระทบเช่นกัน เศรษฐกิจในประเทศหยุดชะงัก ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง

เกาหลีใต้ ก็ไม่ต่างกันกับญี่ปุ่นมาก โดยเฉพาะการได้รับข่าวว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นระยะ แต่คาดว่าเกาหลีใต้จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า เพราะมีการลงทุนในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม

ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ มีมาตรการดูแลผู้ป่วยโควิดเป็นอย่างดี ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบน้อย แต่การขาดสภาพคล่องและเศรษฐกิจหยุดชะงัก ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณไม่ดีของเศรษฐกิจทั้งสองประเทศนี้แล้ว เช่น การที่เงินคงคลังลดลง และต้องกู้เพิ่มเข้ามาอีก

อินเดีย

เป็นประเทศที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เนื่องจากมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา เป็นที่น่าสนใจว่าอินเดียจะจัดการอย่างไรกับปัญหาการติดเชื้อนี้ เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ยังยากจน ขาดข้อมูลข่าวสารในการป้องกัน รวมถึงการสาธารณสุขที่ยังไม่สามารถครอบคลุมประชากร 1,300 ล้านคนได้อย่างทั่วถึง

รัสเซีย

ได้รับผลกระทบมากเช่นกัน มีผู้ป่วยติดโควิดเป็นอันดับ 4 ของโลก ประกอบกับภูมิอากาศเป็นเมืองหนาว ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการระบาดมากขึ้น ทุกวันนี้ชาวรัสเซียเริ่มเห็นความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อน่าจะมีอัตราลดลงในไม่ช้า และเศรษฐกิจจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้รัสเซียยังเป็นประเทศน่าจับตามองในปี 2564 อีกด้วย

สหภาพยุโรป

เราอาจจะไม่คาดคิดว่ายุโรปมีประชากรติดเชื้อโควิดมากเป็นทวีปต้นๆ ของโลก และในขณะที่เขียนบทความนี้ จำนวนผู้ป่วยยังคงมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาของยุโรปเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่สูงมากเกินกว่าจะรับมือไหวนั่นเอง

ในขณะที่เศรษฐกิจยุโรปเริ่มทรงๆ มีปัญหาหลายอย่างทั้งค่าเงินยูโรที่ไม่กระเตื้อง การออกจากอียูของสหราชอาณาจักร การมีปัญหาสงครามกลางเมือง แล้วมาประกอบกับโควิด ทำให้เศรษฐกิจยุโรปเริ่มทรุดหนักกว่าเดิมอีก

มาตรการป้องกันโควิดนั้นค่อนข้างไม่แน่ชัด เช่น มีการล็อกดาวน์ แต่ไม่มีการบังคับให้ใส่หน้ากาก ทำให้เกิดการแพร่ระบาดกันได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งการไม่ชัดเจนในแง่การบังคับใช้กฎหมาย ทำให้ปัญหาโควิดในยุโรปยังคงยืดเยื้อ ซึ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนตกงาน ไม่มีรายได้ และต้องพึ่งพาสวัสดิการจากรัฐมาก และหากรัฐยังไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ ก็เป็นที่คาดการณ์ว่าจะต้องมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สหรัฐอเมริกา

เป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิดมากที่สุดในโลก และคิดเป็นประมาณเกือบร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรที่ติดเชื้อทั่วโลกเลยทีเดียว

สาเหตุหลักของสหรัฐเกิดจากการไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เช่น การบังคับใส่หน้ากาก ไม่สามารถทำได้ในบางรัฐ เพราะขัดต่อหลักเสรีภาพ รวมถึงการแตกแยกทางความคิดกันอย่างรุนแรงในด้านการเมือง ทำให้ประเทศแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน (ในไทยก็มี แต่สหรัฐรุนแรงกว่า)

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อดีตรงที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทำให้ทุกประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทย รู้ว่านโยบายต่างประเทศของสหรัฐจะไปในทางไหน

โดยว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ นายโจ ไบเดน มาจากพรรคเดโมแครต พรรคเดียวกับอดีตประธานาธิบดี โอบาม่า ซึ่งน่าจะดำเนินนโยบายต่างประเทศคล้ายๆ กัน เน้นการทำการค้ากับต่างประเทศมากขึ้น ต้องการเป็นผู้ซื้อ ซึ่งแตกต่างจากนายโดนัลด์ ทรัมพ์ ที่เน้นการรักษาผลประโยชน์ของอเมริกาเป็นหลัก ทำให้คาดการณ์ว่าการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐจะมีโอกาสมากขึ้นนั่นเอง

 

เราได้เรียนรู้อะไรจากสถานการณ์โควิดนี้บ้าง

จากสถานการณ์โควิดในปีนี้ เมื่อมองทั้งไทยและต่างประเทศ เราจะพอเห็นบทเรียนได้ตามนี้ครับ

1) การทำธุรกิจ เงินสดสำคัญที่สุด

หลายๆ ธุรกิจ เมื่อเกิดปัญหาโควิด ทำให้ขาดรายได้ไปช่วงนึง และหากธุรกิจไหนไม่มีเงินเก็บไว้กับตัวมากพอ เพื่อจ่ายค่าพนักงาน ค่าสินค้า อาจทำให้ต้องปิดกิจการได้

2) การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์

ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือธุรกิจในวงการท่องเที่ยว เช่น โรงแรมที่พัก ทัวร์ไกด์ สายการบิน ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด อาจจะยอมละทิ้งธุรกิจหลักบ้าง เช่น การบินไทย เอาธุรกิจอาหารที่โดดเด่นมาเป็นตัวชูโรง หันมาขายปาท่องโก๋ หรือโรงแรมที่พัก ที่ออกแคมเปญให้คนมาพักรายเดือนได้ หาลูกค้าแบบใหม่ๆ แทน ซึ่งก็ไม่น่าว่าแหล่งรายได้เสริมเหล่านี้ อาจจะกลายเป็นอีกช่องทางนึงในการหารายได้หลังจากจบโควิดก็เป็นได้

3) สำหรับคนทำงาน งานที่เราทำอยู่สำคัญมาก

ก่อนเกิดโควิด ข้าพเจ้าเห็นคนบ่นเรื่องเบื่องาน เบื่อเจ้านาย อยากลาออก แต่หลังจากเกิดโควิด ข้อความเหล่านี้หายไปทันที บางบริษัทต้องเชิญพนักงานออก ใครที่โชคดีหน่อย บริษัทก็ยังจ้างต่อ หรืออาจจะสลับกันทำงานเป็นกะ เพื่อลดค่าใช้จ่ายได้ ทำให้เราได้ตระหนักว่าจริงๆ แล้ว งานสำคัญมาก เพราะคนที่ถูกจ้างให้ทำงาน ก็เพื่อจะแก้ไขปัญหาบางอย่าง หากไม่มีปัญหา เราคงไม่ได้รับการจ้างงาน จริงมั้ย

ข้าพเจ้าเชื่อว่าพนักงานหลายๆ คนจะรักงานและทุ่มเทกับงานมากขึ้นกว่าเดิม นี่ถือเป็นข้อดีอีกข้อของโควิดเลย

4) งานที่สอง ธุรกิจที่สอง เป็นทางเลือกใหม่ที่ต้องมี

หลายๆ คนจากที่เคยพึ่งพางานประจำเพียงอย่างเดียว ก็เริ่มมีอาชีพที่สองแล้ว หรือหลายคนเคยทำธุรกิจเดียว พอเกิดโควิด ก็เพิ่มสินค้า เพิ่มธุรกิจ ไปขายอย่างอื่นมากขึ้น จากเมื่อก่อนยังกล้าๆ กลัวๆ จะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ แต่ตอนนี้ไม่กลัวเริ่มต้นแล้ว กลัวไม่มีกิน

นอกจากนี้ หลายๆ คนยังหาอาชีพเสริม หรือธุรกิจใหม่ เช่น ทัวร์ไกด์ และ แอร์โฮสเตส หลายๆ ท่านที่สนใจมาเรียนนำเข้าส่งออก เพื่อเป็นอาชีพที่สองด้วยเป็นต้น

5) ออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการทำธุรกิจไปแล้ว

จากเดิมที่เราคิดว่าออนไลน์เป็นเรื่องไกลตัว อาจจะทำบ้างแต่ไม่จริงจัง ตอนนี้หลายๆ ธุรกิจ เริ่มจริงจังกับมันมากขึ้น เพราะออนไลน์ เราไม่ต้องเดินทาง ข้าพเจ้าเองก็กลับมาโฟกัสกับการหาลูกค้าทางออนไลน์มากขึ้น เม็ดเงินที่เคยลงทุนไปกับการเดินทาง ก็มาลงทุนกับการตลาดออนไลน์มากขึ้นนั่นเอง

6) ธุรกิจใหม่หลังจบโควิด

ประเทศไทยได้รับชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องการจัดการปัญหาโควิดได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่สาธารณสุข และทั่วโลกก็รู้จักประเทศไทยในฐานเมืองท่องเที่ยว

ลองนึกภาพเล่นๆ ว่าหากเราไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยมาปีนึง เราจะไปที่ไหนหลังจากโควิด ก็คงต้องเป็นประเทศที่ปลอดภัยกับโควิด ซึ่งไทยเราน่าจับตามาก และธุรกิจที่จะบูมมากๆ คือธุรกิจที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (Hospitality) จะมีโอกาสเฟื่องฟูสูงมาก ชาวต่างชาติก็อยากจะมารักษาที่เมืองไทย เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวและการแพทย์ดี ธุรกิจบริการกำลังจะบูมนะครับ เตรียมตัวกันได้เลย

นอกจากบริการแล้ว ธุรกิจสินค้าที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness) สินค้าออแกนิค และของสุขภาพทั้งหลายก็จะขายดียิ่งกว่าเดิม (ตอนนี้ก็ขายดีมากแล้ว)

7) ตลาดส่งออกใหม่ที่น่าจับตา

จากการวิเคราะห์ทั้งหมดแล้ว สถานการณ์ในอเมริกายังไม่ดีขึ้น ในยุโรปก็ยังไม่ดีขึ้นเช่นกัน มีแต่ในเอเชียโดยเฉพาะเอเชียตะวันออก จีน และอาเซียน ที่ดูเหมือนว่าจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้อยู่หมัด ทำให้คาดว่าหากสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว คือมีวัคซีนแล้ว หรือควบคุมโรคระบาดได้ ก็จะมีการค้าขาย รวมถึงเดินทางไปมาหาสู่กันเป็นกลุ่มแรกๆ ของโลก

จบการอัพเดทประจำปี 2020 ปีแห่งโควิดแต่เพียงเท่านี้ครับ ขอให้ทุกคนโชคดีในปีหน้านะครับ

 

แหล่งข้อมูล

https://www.worldometers.info/coronavirus/

บทความเกี่ยวข้อง

Leave a Comment