Alibaba.com เว็บขายของ B2B ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

รู้จักเว็บไซต์ Alibaba.com

Alibaba.com นั้นเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมจากนักธุรกิจการค้าระดับโลก เพราะเป็นช่องทางหนึ่งในการขายสินค้าส่งออกไปทั่วโลก เป็นช่องทางออนไลน์ที่คนรู้จักและชอบใช้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งออก ที่ใช้เว็บนี้ในการติดต่อหาลูกค้า จากการนำสินค้าตัวเอง โพสต์ขึ้นบนเว็บอลีบาบา เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าจากต่างประเทศมาเยี่ยมชมและซื้อสินค้า ในทำนองเดียวกันก็เป็นเว็บที่นักธุรกิจนำเข้าของไทย นิยมหาซื้อสินค้าจากผู้ขายในนี้ด้วย

ต้นกำเนิดของอลีบาบา

อลีบาบาเป็นเว็บไซต์ที่เกิดจากความคิดของอาจารย์สอนภาษาอังกฤษชาวจีน ที่ปัจจุบันกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับโลกที่ชื่อว่าแจ๊ก หม่า (เราสามารถอ่านประวัติแจ๊กหม่าได้ตามหนังสือและสื่อต่างๆ ทั่วไป) โดยคุณแจ๊กหม่านี้มีความคิดว่าอยากจะทำเว็บไซต์เพื่อให้ทุกคนที่ค้าขายนำเข้าส่งออกระหว่างประเทศ ไม่ต้องเดินทางไปไกล มาติดต่อกันทางออนไลน์ก็ได้ โดยใช้เว็บเค้าเป็นตัวกลางในการติดต่อ ไม่ต้องซื้อขายผ่านเว็บเค้าก็ได้ ขอแค่ได้รู้จักกันผ่านเว็บนี้ก็มีมูลค่าแล้ว

ซึ่งหลักการนี้ก็เหมือนการที่บริษัทนำเข้าส่งออกไปออกงานแฟร์นั่นแหละครับ การไปออกงานแฟร์ ก็คือการไปเจอหน้าลูกค้า หรือซัพพลายเออร์ตัวจริง แต่ว่าใช้เงินสูงมาก เพราะต้องเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ค่าตกแต่งสถานที่ ค่าขนสินค้า ค่าที่พักและเครื่องบิน รวมถึงค่ากินอยู่อีก และยังไม่แน่ใจว่าจะได้ลูกค้ากลับมามั้ย (ใครที่เรียนกับผมจะรู้อยู่แล้วว่า การหาลูกค้าส่งออกมีช่องทางอะไรอีกบ้าง)  เพราะเหตุเหล่านี้เลยเกิดเว็บนี้ขึ้นมานั่นเอง

หลักการของเว็บอลีบาบา

เมื่อเราเห็นที่มาของเว็บอลีบาบาแล้ว ก็พอจะนึกออกได้นะครับว่าคนที่เข้ามาขายสินค้านั้น จะเป็นพ่อค้านักธุรกิจที่ต้องการออเดอร์ใหญ่ สั่งทีละเยอะๆ และที่สำคัญ ราคาต้องไม่แพงเกินไปด้วย เว็บไซต์อลีบาบาจึงได้ชื่อว่าเป็นเว็บ B2B Marketplace หรือเว็บสำหรับนักธุรกิจนั่นเอง และจะไม่เหมือนกับเว็บขายปลีกอื่นๆ เช่น Amazon.com, Ebay.com, Taobao.com ที่เน้นการซื้อขายสินค้ากับรายย่อยหรือผู้บริโภคโดยตรง

พอรู้อย่างนี้แล้วเราก็พอจะเดาได้มั้ยครับว่าเราควรทำตัวยังไงให้ค้าขายอลีบาบาได้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เราไม่สามารถไปทำอะไรเล่นๆ บนเว็บนี้ได้ เพราะมันคือการค้าขายในเชิงธุรกิจจริงจัง (แม้จะมีพวกหลอกลวงเข้ามาเยอะก็เถอะ) คนที่เข้าไปขายก็สินค้าก็ควรเป็นบริษัทส่งออก หรืออย่างน้อยถ้ายังไม่มีบริษัท ก็ควรตั้งใจทำส่งออกอย่างจริงจัง เพื่อที่วันนึงจะได้ไปส่งออกได้

สำหรับท่านที่สนใจอบรมการส่งออกนำเข้าสามารถดูรายละเอียดคอร์สต่างๆ ได้ที่หน้านี้ >> คลิกที่นี่

ในตอนแรกๆ ที่ผมเริ่มทำอลีบาบา (แบบไม่ได้คิดอะไรมากมาย) เพราะว่าการทำการค้าออนไลน์เพิ่งเริ่มมีบทบาทแต่ยังน้อยอยู่ แต่สิ่งที่ดังกว่าโอกาสทางการขายออนไลน์มีอยู่อย่างนึงคือ การขายทางออนไลน์มีการถูกฉ้อโกงกันมาก คนไทยมักถูกต่างชาติหลอกซื้อของทางออนไลน์เป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเว็บอลีบาบา และอีกข้อมูลที่ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับอลีบาบาก็คือ ถ้าใครอยากส่งออกทางออนไลน์ให้ไปสมัครอลีบาบา แค่นั้นเลยครับ

แต่ด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไรมากมาย และไม่มีทางเลือกมากนัก คิดว่าผมก็แค่ระวังตัวให้ดีขึ้นรวมถึงไม่มีเงินให้เค้าไปโกง ก็คงไม่โดนโกง ผมก็เลยไปสมัครแล้วก็กรอกข้อมูล และก็โพสต์สินค้า ในรูปแบบสมาชิกฟรี ที่ต้องสมัครแบบฟรีเพราะว่าค่าสมาชิกแบบ Gold Supplier ตอนนั้นคิดปีละ 100,000 บาท โดยประมาณ แพงมากครับ แต่ก็มีคนบอกว่าถูกกว่าไปออกงานแฟร์อีก ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร แต่สำหรับคนที่มีงบจำกัดอย่างผม ก็คงไม่มีทางเลือกมากนัก

ข้อกำหนดที่คนสมัครสมาชิกฟรีต้องยอมรับเลยคือ คุณจะโพสต์สินค้าได้แค่ 50 รายการเท่านั้น ถ้าอยากโพสต์เพิ่มก็ต้องลบสินค้าเดิมออกนั่นเอง ซึ่งอันนี้ก็ไม่ได้ติดอะไร เพราะผมมีสินค้าไม่ถีง 50 รายการอยู่แล้ว

อีกเงื่อนไขนึงคือ หากคุณไม่ได้สมัครสมาชิกแบบเสียเงิน (Gold Supplier) คุณจะต้องยอมรับว่าเวลาลูกค้าหาสินค้าของคุณ ต่อให้ทำสินค้ารูปภาพสวยงาม คีย์เวิร์ดตรงตัว ก็จะอยู่หลังสมาชิกแบบเสียเงินอยู่ดี ซึ่งข้อนี้ผมก็รับได้เช่นกัน เพราะว่าสินค้าของเรา (ในตอนนั้น) ไม่ได้มีคู่แข่งมาก เคยลองเสิชหา ปรากฏว่าอยู่ลำดับ 30 กว่าเอง รูปเม้าส์แป๊บเดียวก็เจอแล้ว ผมเลยไม่มีปัญหากับเรื่องนี้

หลังจากโพสต์ไปเสร็จไม่นาน ผมก็ได้รับอินบ๊อกจากผู้ซื้อ (ที่ไม่รู้ว่าซื้อจริงรึเปล่า) จากต่างประเทศ เวลามีอินบ๊อกเข้ามาในอลีบาบา มันจะขึ้นเตือนในอีเมลเราด้วย ถ้าไม่ขึ้นเตือน เราก็ไม่รู้ว่ามี เพราะไม่ค่อยมีใครไปเปิดอลีบาบานั่งเช็คอินบ๊อกตลอดเวลา

จากประสบการณ์ที่ลูกค้าสอบถามเข้ามานั้น พบว่ามีหลายแบบดังนี้

1.             ถามแบบซื้อจริงจัง ส่วนนี้มีประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ครับ พวกนี้จะบอกเลยว่าต้องการอะไร จำนวนเท่าไหร่ สเปคอะไรบ้าง บอกละเอียดมาก และบอกว่าต้องการเมื่อไหร่ด้วย

2.             พวกถามราคาเพื่อเปรียบเทียบ อาจจะซื้อจริงจัง หรือไม่จริงจังก็ได้ แต่ว่าถามเผื่อจะได้เจ้าที่ราคาถูกกว่าที่เคยซื้ออยู่ ถ้าเราเสนอราคาที่โดน ก็มีสิทธิได้คุยกันต่อครับ

3.             พวกไม่จริงจัง มีประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ มักจะเป็นพวก ถามไปงั้นๆ เจอรูปสินค้าสวยๆ บังเอิญหาเจอก็เลยถาม 

4.             และพวกสุดท้ายคือพวกหลอกลวง ตั้งใจหลอกลวงเลย จะมาแบบหน้าใหญ่มาก มักพบได้ในประเทศแอฟริกาบางประเทศ หรือชื่อแปลกๆ ซึ่งคนหลอกก็จะมีอยู่ไม่กี่แบบครับ พิมพ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด มีการเคลมว่ารู้จักกับคนใหญ่คนโตในประเทศนั้นๆ และมีคำสั่งซื้อจำนวนมากๆ ถ้าใครเจอแบบนี้ก็เตรียมตัวเตรียมใจได้เลยว่าเค้ามาหลอกแน่ๆ อย่าไปติดต่อ หรือรีพอร์ตไปเลยก็ได้ครับ

ทำยังไงให้ขายของบนอลีบาบาได้

ขอเท้าความนิดนึง ตอนผมสมัครสมาชิกแบบฟรีปีแรกไปนั้น ปีนั้นค่าสมัครสมาชิกแบบ Gold Supplier อยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท ซึ่งเกินงบผมไปเยอะ เลยไม่ได้สมัคร แต่หลังจากนั้น 2 ปี Alibaba ต้องการกวาดฐานสมาชิกเพิ่มขึ้น และอยากจะให้สมาชิกเห็นความสำคัญของ Gold Supplier จึงลดค่าสมัครลงมาเหลือแค่ปีละ 10,000 บาท (USD 299) ซึ่งถูกมาก ถูกกว่าเว็บอื่นๆ จากอินเดียอีก ผมก็เลยไม่รอช้า สมัครเลยครับ และสิทธิพิเศษในตอนนั้นก็คือ 1. สามารถอัพรูปสินค้าได้แบบไม่จำกัดจำนวน 2. มีการอบรมการอัพสินค้าให้ได้ประสิทธิภาพ 3. มีผู้ช่วยเหลือในการอัพเดทสินค้าจากเว็บอลีบาบาจีนโดยตรง เป็นสาวสวยจากจีนที่พูดอังกฤษได้ (ไม่รู้ตัวจริงสวยมั้ย แต่ในเน็ตสวยมากครับ) และแน่นอน สินค้าของผมต้องอยู่อันดับเหนือกว่าสมาชิกฟรีๆ อยู่แล้วครับ ซึ่งอันนี้รู้สึกดีขึ้นมาแน่นอน

และเมื่อเสียเงินแล้ว ลูกค้าที่เข้ามาก็เปลี่ยนไปครับ ในตอนแรกที่ผมยังไม่ได้ปรับปรุงการโพสต์สินค้า จำนวนลูกค้าที่เข้ามาสอบถามสินค้ามีอยู่เท่าเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปคือมีคุณภาพมากขึ้น คล้ายๆ กับพวกหลอกลวง พวกไม่จริงจังมีน้อยลง ซึ่งสาเหตุก็น่าจะมาจากการที่เค้าคิดว่าคนสมัคร Gold Supplier น่าจะเก่งมากพอแล้ว หลอกยากขึ้น เลยไม่กล้าเข้าแหยม

ซึ่งจากเรื่องนี้เองผมก็ได้เรียนรู้ว่า ไม่ใช่จ่ายเงินอย่างเดียวและจะสำเร็จ เราต้องทำรูปสินค้า และข้อมูลสินค้าในการโพสต์ให้โดดเด่นกว่าคนอื่น รวมถึงทำให้คีย์เวิร์ดของเราดีกว่าเจ้าอื่นด้วย จากประสบการณ์และที่ได้เรียนรู้มา พบว่ามีปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้สินค้าเราหาเจอและขายได้ดังนี้ครับ

  1. คีย์เวิร์ด สำคัญที่สุดคือ ชื่อสินค้า ค้นคำว่า Rice ก็ต้องเจอข้าว แต่ให้ดีต้องเจาะลึกไปอีก เช่น คำว่า Jasmine Rice / Hommali Rice / Thai Rice สำหรับคนที่ขายข้าวหอมมะลิเป็นต้น
  2. รูปภาพ สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคีย์เวิร์ดจะทำให้ลูกค้าหาเราเจอ แต่รูปภาพ จะทำให้คนคลิกมาที่สินค้าเรา ดังนั้น รูปภาพต้องดึงดูด ส่วนจะดึงดูดยังไง แล้วแต่สินค้าครับ ภาพสวยไม่พอ ต้องน่าเชื่อถือด้วย เค้าจะสั่งสินค้าจากคุณเป็นล้านๆ บาท เอาภาพมือสมัครเล่นมาใช้ได้ยังไง จริงมั้ยครับ
  3. ข้อมูลสินค้า ผมว่าเรื่องนี้คนไทยมักจะพลาดเสมอๆ เพราะเรามักจะคิดว่า ก็รูปสวยๆ เห็นชัดๆ ก็น่าจะพอแล้วนะ เธอเห็นรูปสบู่ ไม่รู้เหรอว่ามันคือสบู่ (นี่คือสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่คิด) แต่จริงๆ แล้ว คนต่างชาติหรือแม้แต่คนไทยที่นำเข้าสินค้าเองทุกคนก็อยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ครับ รายละเอียดที่ว่าคือ ขนาดสินค้า อายุสินค้า คุณสมบัติเด่นๆ น้ำหนัก กรรมวิธีการผลิต รวมถึงเค้าอยากรู้จักโรงงานหรือบริษัทคุณด้วย เพราะถ้าไม่ได้ให้เค้าเห็นหรือรู้อะไรเลย เค้าก็จะไม่เชื่อถือคุณนั่นเองครับ

จริงแล้วมีอีกหลายปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับมือใหม่ก็เริ่มจาก 3 อย่างนี้ก่อนนะครับ ส่วนใครที่ตอนนี้เป็นสมาชิกแบบ Gold Supplier ที่ต้องเสียเงินปีละเกือบ 6 หมื่น หรือระดับสูงๆ แบบปีละ 240,000 บาท ก็ให้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลลูกค้าท่านได้เลยนะครับ เค้าจะมีการแนะนำการโพสต์สินค้าให้ครับ

สนใจการนำเข้าส่งออกสามารถคลิกดูคอร์สต่างๆ ของเราได้เลยครับ คลิกที่นี่

สนใจเรียนธุรกิจส่งออก คลิกที่นี่

บทความเกี่ยวข้อง

Leave a Comment